วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ผลกระวาน


เมื่อออกผล ผลกระวานจะมีลักษณะค่อนข้างกลม สีจะออกนวล ๆ มีประมาณ 3 พู ผลที่ยังอ่อนอยู่นั้นจะมีขนและจะค่อย ๆ ร่วงไปเมื่อผลแก่ และผลที่แก่หรือสุกแล้วจะแตกออก ข้างในมีเมล็ดเล็ก ๆ อยู่เยอะมาก ถ้าเป็นเมล็ดที่อ่อนก็จะมีสีขาวและยังมีเยื่อหุ้ม แต่ถ้าเมล็ดนั้นแก่แล้วก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ ทั้งผลและเมล็ดกระวานนั้นมีกลิ่นหอมค่ะ

 

ต้นกระวาน หลากประโยชน์ เพราะสามารถนำมารักษาโรคได้เกือบทั้งต้น เริ่มจาก “ราก” ของต้นกระวาน สามารถนำมาใช้ฟอกเลือด, ขับลม และ รักษาโรครำมะนาดก็ได้ค่ะ ส่วนที่เป็น “หัวและหน่อ” นั้น มีสรรพคุณช่วยขับพยาธิในเนื้อให้ออกมาทางผิวหนัง “เปลือก” ของกระวานเอง ก็ช่วยบรรเทาอาการไข้, รักษาโรคผิวหนัง และ ขับเสมหะ ได้อีกเช่นกัน อีกประโยชน์ที่ได้ก็มาจาก “แก่น” เพราะสามารถนำมาขับพิษร้าย และ รักษาอาการเลือดเป็นพิษได้ค่ะ ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ “ใบ” กระวานนั้น มีประโยชน์ไม่เพียงแต่ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง แต่ยังใช้รักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง, ช่วยให้ขับลมได้สะดวก, รักษาโรครำมะนาด และ ช่วยขับเสมหะได้เป็นอย่างดี

 

ส่วน “เหง้าอ่อน” ของกระวานนั้น ก้สามารถนำมากินแทนผักสดได้ค่ะ เหง้าอ่อนจะมีกลิ่นหอมและมีรสชาติออกจะเผ็ดนิดหนึ่งนะคะ อีกส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ “ผลแก่” ของกระวานที่แม้จะมีรสเผ็ดร้อน แต่ก็ยังคงมีกลิ่นหอม ในผลแก่กระวานนั้นจะมีน้ำมันหอมระเหยอย่าง Essential oil อยู่เกือบ ๆ 5 – 9 % ค่ะ ซึ่งจะมีฤทธิ์ในการขับลม และช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้ และ ยังมีประโยชน์ช่วยขับลม, ขับเสมหะ, บรรเทาอาการแน่นท้องและจุกเสียดได้ หรือ ถ้าเราจะปรุงอาหารก็สามารถนำผลแก่กระวานไปเป็นส่วนผสมแทนเครื่องเทศก็ได้เช่นกันค่ะ

 

หากเราจะกินผลกระวานเพื่อเป็นยาขับลม บรรเทาอาการท้องอืดนั้น ให้เราเลือกผลกระวานที่แก่จัดมาประมาณ 6 – 10 ลูก โดยที่น้ำหนักรวมแล้วควรอยู่ระหว่าง 0.6 – 2 กรัมค่ะ จากนั้นก็นำไปตากแห้งก่อนแล้วค่อยนำไปบดจนเป็นผงละเอียด วิธีรับประทานก็เพียงต้มน้ำดื่มปริมาณ 1 ถ้วยผสมกับผงกระวานประมาณ 1 – 3 ช้อนชา แล้วเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนเหลือสักครึ่งแก้ว ดื่มเพียงครั้งเดียวค่ะ ผลกระวานนั้น สามารถนำไปผสมกับมะขามแขกเพื่อใช้บรรเทาอาการเสียดท้องได้ด้วยน

มะกรูด


– มะกรูดเป็นส่วนประกอบอาหาร โดยการนำเอาผลมะกรูดมาใช้ให้รสเปรี้ยวได้เหมือนกับมะนาว (แต่มะกรูดจะมีน้ำน้อยกว่ามะนาว) สามารถนำมาใช้ทดแทนกันได้ และใบของมะกรูดก็เป็นส่วนประกอบของอาหารที่นิยมหลายประเภท เช่น ลาบเนื้อ คั่วกลิ้ง ต้มยำ เป็นต้น ใบมะกรูดจะมีรสชาติฝาดและเผ็ดเล็กน้อย แต่มีสรรพคุณช่วยให้เจริญอาหารได้เป็นอย่างดี นอกจากเป็นส่วนผสมในอาหารแล้ว ใบมะกรูดยังเป็นเครื่องเคียงที่รับประทานกับอาหารหลากหลายชนิดได้ เป็นต้นว่า ใบมะกรูดทอดกรอบ กินกับไก่ทอดทรงเครื่อง

 

– มะกรูดเป็นยารักษาอาการผิดปกติของร่างกายบางชนิดได้ โดยเฉพาะอาการท้องอืดท้องเฟ้อ อาการวิงเวียนศีรษะ ผิวมะกรูดมีสรรพคุณในการขับลมในล้ำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ นอกจากนั้นแล้ว หากใครที่มีอาการผิดปกติของหนังศีรษะ เช่น เป็นรังแค เป็นเหา ในกรณีที่เป็นรังแคให้ใช้มะกรูดเผาไฟคั้นเอาน้ำ แล้วนำน้ำมะกรูดที่ได้ไปขยี้บนหนังศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 3 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำอย่างนี้เป็นประจำจะลดปัญหารังแคที่เกิดขึ้นได้ ส่วนปัญหาเหา ให้ใช้น้ำมะกรูดผสมกับหัวกะที กวนให้เข้ากัน แล้วนำไปชโลมที่ผมให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด จากนั้นปัญหาเหาก็จะลดลงหรือหายไป

 

– มะกรูดมีส่วนช่วยเสริมสร้างความสวยงามให้กับผิว และผม โดยในสมัยโบราณมีการนำเอามะกรูดมาเป็นยาสระผม ซึ่งมะกรูดจะช่วยให้ผมดำเงางาม นุ่มสลวย และมีกลิ่นหอม นอกจากนั้นหากนำเอามะกรูดมาผสมกับข้าวโอ๊ตและน้ำผึ้ง แล้วนำมาชโลมผิวให้ทั่วทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก มะกรูดจะช่วยขัดผิว ชะล้างเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกไป ทำให้ผิวดูขาวเนียน นุ่ม และลดริ้วรอยจุดด่างดำลงได้ ยิ่งไปกว่านั้นส่วนผิวหนังที่แข็งหรือหยาบกระด้าง หากนำเอามะกรูดเผามาผสมกับเกลือแล้วนำไปทาบริเวณที่หยาบกระด้างในลักษณะของครีมบำรุงผิว ปัญหาผิวหยาบกระด้างก็จะลดลง

 

ในผลมะกรูดยังมีกรดผลไม้ ที่ช่วยลดคราบมันของอาหารบนภาชนะได้ด้วย ทำให้มันถูกนำไปเป็นส่วนผสมของน้ำยาล้างจาน หรือน้ำยาทำความสะอาด อีกทั้งมะกรูดมีคุณสมบัติในเรื่องของกลิ่นหอม จึงสามารถดับกลิ่นไม่พึงประสงค์บางชนิดได้ หากนำไปไว้ในตู้เย็นก็จะสามารถลดปัญหากลิ่นอับได้นั่นเอง

โรคสมาธิสั้นคือ


แล้วโรคสมาธิสั้นคืออะไร? ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับอาการของโรคสมาธิสั้นนี้กันเสียก่อน โดยโรคสมาธิสั้นนั้น คืออาการที่จะส่งผลต่อพฤติกรรม อารมณ์ และการเรียนที่จะเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบ อันได้แก่กลุ่มอาการขาดสมาธิ (attention deficit), การขาดความสามารถในการควบคุมตนเอง (impulsivity), อาการเหม่อลอยในเด็กผู้หญิง และอาการซน (hyperactivity) ในเด็กผู้ชาย ซึ่งในเด็กผู้ชายบางคนจะพบพฤติกรรมการซนไปจนถึงขาดความสามารถในการควบคุมตนเอง หรือในเด็กบางคนอาจจะมีอาการซนจนทำให้ขาดสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ

 

โดยเฉพาะการเรียนได้ และเราอาจจะพบเห็นอาการเหล่านี้ในทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายกันจนชินตา จนไม่คิดว่าจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต โดยเฉพาะการเรียนที่เป็นกิจกรรมที่ต้องอาศัยสมาธิในการจดจ่ออยู่กับความรู้ในห้อง เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นมักจะมีประสาทสัมผัสจดจ่ออยู่กับหนังสือได้ไม่นาน แม้กระทั่งขณะนั่งฟังเรื่องราวที่คุณครูสอนก็มักจะมีความคิดหรือการกระทำอื่นๆ แทรกเข้ามาให้สมาธิในการฟังนั้นคลาดเคลื่อน เด็กเหล่านี้จึงไม่สามารถจับประเด็นใจความสำคัญในการเรียนแต่ละบทเรียน ยิ่งไปกว่านั้นคือเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นจะไม่ชอบการอ่านหนังสือนานๆ ซึ่งจะเป็นปัญหาในการเรียนการสอบตามมาอีกเช่นกัน

 

แม้โรคสมาธิสั้นนี้จะไม่สามารถป้องกันได้ แต่ทว่าสามารถให้ความช่วยเหลือในการเรียนของเด็กๆ เหล่านี้ได้ ด้วยการให้เด็กทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับความรู้ต่างๆ ที่ไม่ใช่การอ่านหนังสือ เช่น ให้เด็กเรียนรู้ที่จะปลูกต้นไม้จริงแทนการอ่านวิธีปลูกต้นไม้ หรือจะให้เด็กเล่นเกมต่อคำศัพท์ภาษาอังกฤษแทนการท่องคำศัพท์แทนได้ โดยที่คุณครูผู้สอนหรือผู้ปกครองควรใส่ใจเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นกันอย่างใกล้ชิด และเลือกที่จะเล่าเรื่องราวในตำราเรียนออกมาเป็นภาพแทนการให้เด็กอ่านหนังสือเอง

 

นอกจากนี้ โรคสมาธิสั้นสามารถช่วยเหลือได้ด้วยการทานยาตามคำสั่งของแพทย์ได้ หรือในเด็กบางคนเมื่อโตขึ้นผ่านช่วงวัยรุ่นไปแล้ว อาการเหล่านี้ก็จะสามารถหายไปเองโดยที่สามารถเรียนหนังสือหรือทำงานได้ตามปกติ ถึงอย่างไรก็ตามหากพบเห็นอาการของโรคสมาธิสั้นในเด็ก ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อป้องกันไว้เสียก่อน


ในการเรียนให้ประสบความสำเร็จนั้นจะต้องเริ่มจากการแบ่งเวลาให้เป็นเสียก่อน โดยในแต่ละวันจะต้องแบ่งเวลาไว้เพื่อทำสิ่งต่างๆ ไว้เป็นสัดส่วน เช่น แบ่งเวลาที่ใช้ในการเรียนออกจากเวลาที่ใช้ในการพักผ่อน เพื่อให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเต็มที่ในเวลานั้นๆ อย่างการเรียนก็ควรเรียนอย่างเต็มที่ไม่วอกแวก  เวลาสำหรับการเที่ยวเล่นก็สามารถผ่อนคลายได้เต็มที่โดยต้องตรงตามเวลาอย่างเคร่งครัด ซึ่งต้องแบ่งเวลาเหล่านี้ให้สมดุลกัน อาจมีการแบ่งเวลาไว้สำหรับการออกกำลังกายด้วยก็ได้

 

วิธีต่อมาคือการมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการเรียนในห้องเรียน หมายถึงการจดจ่อและจดบันทึกเนื้อหาต่างๆ ของบทเรียนที่ได้ทราบในห้องเรียนไว้ และตั้งใจดูตามหนังสือเรียนวิชานั้นๆ ข้อห้ามคือห้ามเล่นโทรศัพท์ในขณะเรียนหนังสือโดยเด็ดขาด เพราะเป็นสิ่งที่จะทำให้เสียสมาธิได้ง่าย หรือไม่ควรนั่งเหม่อลอยเพราะเห็นว่าสามารถกลับไปอ่านเนื้อหาด้วยตนเองได้ เพราะการเรียนในห้องเรียนนั้น คุณครูผู้สอนมักจะสอดแทรกความรู้ต่างๆ นอกเหนือบทเรียน และมีการสอนด้วยวิธีการจดจำที่ง่ายกว่า การมีสมาธิเรียนในห้องเรียนจึงช่วยให้มีประสิทธิภาพมากกว่าการอ่านหนังสือเอง ที่สำคัญคือเราสามารถถามข้อสงสัยคุณครูได้ตลอดเวลาอีกด้วย โดยอาจจะใช้การจดบันทึกข้อสงสัยเหล่านั้นไว้ก่อน และใช้การฟังสิ่งที่คุณครูพูดให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ หากได้คำตอบแล้วจึงตอบคำถามนั้นๆ ไว้ในสมุด ซึ่งจะช่วยให้เราจดจำข้อสงสัยนั้นได้ดียิ่งขึ้นด้วย

 

ในการเรียนหนังสือให้ประสบความสำเร็จแม้จะทำตามวิธีข้างต้นแล้ว แต่ยังขาดวินัยในการเรียนก็มิอาจเป็นผล อย่างการจัดแบ่งเวลาในการเรียนหรือการอ่านหนังสือควรมีความรับผิดชอบและมุมานะอย่างจริงจัง การตั้งใจเรียน ตั้งใจจดบันทึกในห้องเรียนก็ควรทำจนเป็นนิสัย ไม่ใช่การทำเพื่อให้มีผลการเรียนที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่การตั้งใจเรียนอย่างถาวรจะช่วยให้เราสามารถประสบความสำเร็จได้ในอนาคตการทำงานอีกด้วย อาจใช้การตั้งเป้าหมายเพื่อช่วยให้เรามุ่งมั่นทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่อย่าให้เป้าหมายเหล่านั้นมาทำให้เรากดดันหรือเครียดจนเกินไป เพราะจะก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ในการเรียน

 

การเรียนที่จะประสบความสำเร็จจะต้องเกิดจากความสุขในการเรียนด้วย เพราะนอกจากการเรียนจะสอนให้เราได้ความรู้ ความคิดที่ดีแล้ว สิ่งที่จะประสบความสำเร็จในการเรียนที่สุดก็คือการที่เราสามารถตัดสินใจ รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี และรักษาตนเองในสังคมได้นั่นเอง

คำไวพจน์


คำไวพจน์ ตัวอย่างคำไวพจน์และความหมายของคำไวพจน์ สรุปคำไวพจน์ที่ไช้บ่อย คำไวพจน์ ดอกไม้ ช้าง นก ม้า งาม ป่า น้ำ สวรรค์ ผู้หญิง รวมคำไวพจน์มากมาย
 

คำไวพจน์

คำไวพจน์ เป็นคำที่มีความไพเราะและงดงามทางภาษาอีกทั้งยังมีความหมายลึกซึ้ง หากนำคำไวพจน์ไปแต่งบทกลอนหรือบทกวีจะทำให้บทความนี้นั้นมีความสละสลวยและทำให้ชวนอ่านมากขึ้น
 

ความหมายของคำไวพจน์

คำไวพจน์ หมายถึง คำที่มีความหมายเหมือนกันแต่เขียนต่างกัน
 

สรุปคำไวพจน์ที่ไช้บ่อย

 
คำไวพจน์ ดอกไม้ บุษบา, บุปผา, บุปผชาติ, บุหงา, บุษบง, บุษบัน, ผกา, มาลา, ผกามาศ, มาลี, สุมาลี, สุคันธชาติ
 
คำไวพจน์ ป่า ชัฏ, เถื่อน, พนัส, พนา, อรัญญิก, พงพนา, ไพรวัน, พงพี, พงไพร, ไพรสัณฑ์, พนาดร, พนาลี, พนาวัน
 
คำไวพจน์ ฟ้า อัมพร, หาว, เวหา, โพยม, นภ, ทิฆัมพร, คคนางค์, คคนานต์, นภดล, นภา, นภาลัย, เวหาศ
 
คำไวพจน์ น้ำ คงคา, นที, สินธุ์, สาคร, สมุทร, ชลาลัย, อุทก, ชโลทรพ, อาโป, หรรณพ, ชลธาร, ชลาศัย, ชลธี, ธาร, ธารา, สลิล, อรรณพ, สินธุ, รัตนากร, สาคเรศ, ธารา
 
คำไวพจน์ ต้นไม้ พฤกษ์, รุกข์, ตรุ, เฌอ, ทุม
 
คำไวพจน์ ภูเขา บรรพต, สิงขร, พนม, ไศล, ภู, ศิงขร, ภูผา, ศิขริน, คีรี
 
คำไวพจน์ แผ่นดิน หล้า, เมธินี, ภูมิ, ภพ, พสุธา, ธาษตรี, ด้าว, โลกธาตุ, ภูวดล, พิภพ, พสุธาดล, ปัถพี, ปฐวี, ปฐพี, ธราดล, ธรณี, ภูตลา, พสุนทรา, มหิ, พสุมดี

วัยทอง

                วัยหมดประจำเดือนหรือที่เรียกว่าวัยทองเป็นช่วงหนึ่งที่สำคัญของชีวิตผู้หญิง  ผู้หญิงหลายคนรู้สึกกังวลเรื่องนี้มากเพราะจะทำให้ตัวเองจะต้องเปลี่ยนแปลงไปในหลายด้านจนกลายเป็นคนละคนเลยก็ว่าได้ทั้งร่างกายและจิตใจด้วย  จึงส่งผลกระทบให้ผู้ที่อยู่ในวัยนี้มีอารมณ์ที่ผันผวนเป็นอย่างมาก  โดยปกติผู้หญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปแต่ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยในแต่ละบุคคล  บางคนอาจจะเริ่มที่ช้ากว่านั้นหรือว่าบางคนอาจจะเร็วกกว่านั้น  เมื่อเข้าสู่วัยนี้ควรที่จะดูแลตัวเองให้เหมาะสมกับวัย  โดยข้อมูลที่จะนำเสนอมีดังนี้

                    เมื่ออายุเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน : โดยทั่วไปเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไปประจำเดือนก็จะมาน้อยลง  และจะหมดไปภายใน 12 เดือนก็จะไม่มีหรือมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ในช่วงอายุนั้นอาจจะไม่สามารถกำหนดๆได้ว่าจะเริ่มเข้าสู่วัยทองแต่เมื่อไหร่ บางคนก็เริ่ม 40 บางคนก็เริ่ม 60 ปี  อายุที่เข้าสู่วันหมดประจำเดือนนั้นส่วนมากมักจะเท่ากับอายุของผู้เป็นแม่ของตัวเอง  เพราะฉะนั้นอยากรู้ว่าตัวเองจะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนเมื่อไหร่สามารถสังเกตจากผู้เป็นแม่ได้  โดยผู้ที่เริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนจะมีอาการ  หงุดหงิดง่าย  ร้อนวูบวาบ  แต่ประจำเดือนก็ยังมาเป็นปกติ  อยู่ในช่วงที่ฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นเอง  พอสักระยะประจำเดือนก็จะเริ่มมาน้อยลงและมีระยะห่างขึ้น
                 น้ำหนักตัวเพิ่ม : เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนน้ำหนักตัวก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากฮอร์โมนเพศไม่สมดุล  ใช้พลังงานของร่างกายลดลง  ร่างกายจะเก็บไขมันไว้ที่ต้นขาบ้าง  ที่สะโพกบ้าง  น้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  หากมีการควบคุมอาหารได้รับโภชนาการที่พอเหมาะ  ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอจะช่วยความคุมน้ำหนักได้
                  กระดูกไม่แข็งแรง : เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้วจะมีอาการกระดูกเปราะบางเป็นอย่างมาก  และมีโอกาสที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนสูง  หากไม่ป้องกันก็จะเกิดโรคไขข้ออักเสบ  ปวดกระดูก  และอาจจะหักได้ง่าย  หากต้องการลดความเสี่ยงต้องปรับปรุงคุณภาพในการดำรงชีวิต  การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียม  และวิตามินดี  ออกกำลังจะช่วยได้
                    ความต้องการเพศลดลง : เนื่องจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนจะทำให้ร่างกายและอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่คงที่ส่งผลทำให้น้ำที่ช่องคลอดลดน้อยลง  ทำให้เวลาร่วมเพศรู้สึกเจ็บ  และด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่ทำให้ไม่ค่อยมีความต้องการหากเราพัฒนาทางด้านอารมณ์จะช่วยได้
สัญญาณแรกของการเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน : โดยทั่วไปก็จะมีประจำเดือนที่ลดลง  และมีอาการต่างๆดังนี้

– เหนื่อยง่าย  อ่อนเพลีย  ไม่ค่อยมีแรง
– ประจำเดือนมาไม่ปกติ  หรือว่ามาเพียงเล็กน้อย
– มีอารมณ์วิตกวังวล  หงุดหงิด  แปรปรวน
– ผมร่วง
– มีความต้องการทางเพศลดลง
ช่วงอายุของวัยหมดประจำเดือน : ในช่วงเวลาเข้าสู่วัยนี้นั้นจะแล้วแต่ในแต่ละบุคคลโดยไม่เข้าเร็วหรือช้าไม่เท่ากัน  โดยมีปัจจัยอื่นร่วมด้วยอย่างเช่น
– อายุของแม่ที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน  ลูกก็จะเริ่มเข้าเช่นเดียวกับแม่
– การสูบบุหรี่จะทำให้เข้าสู่วัยนี้เร็วขึ้น
– การที่เคยตั้งครรภ์จะทำให้เกิดได้ช้า
– ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  จะทำให้เกิดเร็วขึ้น

             การดำเนินชีวิตของคนวัยหมดประจำเดือน :การดูแลตัวเองเป็นเรื่องที่สำคัญ  ด้วยความไม่สมดุลต่างๆของร่างกายที่เกิด  จะต้องดูแลในทุกด้วย  เอาใจใส่ในเรื่องของอาหาร  อารมณ์ที่ผันผวนอย่างรวดเร็ว  อาการต่างๆของร่างกาน  ควรได้รับอาการที่เหมาะสมอย่างเช่นถั่วเหลืองที่ช่วยเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน  และอาหารอย่างอื่นที่ได้รับจากธรรมชาติ
            สมุนไพรที่เหมาะสมกับวัยหมดประจำเดือน :อาการต่างๆที่ผิดปกติบรรเทาอาการผิดปกติของร่างกายได้  สมุนไพรที่เหมาะสมจะทำให้ร่างกายมีความสมดุล  และจะทำให้ร่างกายไม่ต้องพึ่งยา  อย่างเช่น  สะระแหน่  จะช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ  ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดี  ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดี  ทำให้ร่างกายได้รับ  ฟอสฟอรัส  แมงกานีส  และวิตามินต่างๆ
             อาหารที่เหมาะสมกับวัยหมดประจำเดือน :ความรุนแรงที่เกิดจากผลข้างเคียงของวัยทองขึ้นอยู่กับผู้หญิงในแต่ละคนการรับประทานที่ถูกต้องตามโภชนาการจะช่วยปรับความสมดุลให้กับร่างกายตัวเองได้   โดยแนะนำดังนี้

อาการที่ไขมันต่ำ จะช่วยให้รักษาน้ำหนักไม่ให้เพิ่มขึ้นง่าย  และควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงอาหารต่างๆที่เพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน อย่างเช่นถั่วเหลือง  ลูกพรุน  สเตอเบอรี่ องุ่น  ส้ม  ส้มโอ  ลูกแพร์  แอปเปิ้ล แครอท  แตงกวา  กะหล่ำปลี  จะช่วยให้ความสมดุลของฮอร์โมนได้ดีขึ้นอาหารที่มีกรดโฟลิก โปรตีน  วิตามินบี 6 แคลเซียม  จะเหมาะสมและเสริมสร้างความเสี่ยงที่เกิดจากวัยนี้ได้

              นอกจากนี้แล้วยังมีวิธีอื่นที่มีความจำเป็นในการบำรุงรักษาสุขภาพของวัยหมดประจำเดือน ได้แก่  การออกกำลังกาย  ลดความเครียดจากการพักผ่อนให้เพียงพอ  การนั่งสมาธิ  ปรับสภาพจิตใจ  และการปรึกษาแพทย์จะทำให้ผ่านช่วงได้ไม่ยาก