วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560

แฟ้มภาพ

เนื่องจากร่างกายอดอาหารมาตลอดทั้งคืน อาหารเช้าจึงเป็นสิ่งที่สำคัญกับร่างกายอย่างมาก เพราะเป็นมื้อที่ให้ประโยชน์ต่างๆ มากมาย จะทำให้คุณสดชื่น กระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉง อีกทั้งยังสามารถไปช่วยกระตุ้นพลังงานสมอง ทำให้มีสมาธิและความจำที่ดีด้วย แต่ในทางกลับกันถ้าหากเราอดมื้อเช้าจะยิ่งทำให้เสี่ยงต่อโรคต่างๆ ตามมา ดังนี้

1. โรคอ้วน เพราะการอดอาหารมื้อเช้าจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ อาจส่งผลให้มื้อต่อๆ ไปกินหนักและเผลอกินของหวานเข้าไปก็เป็นได้ แถมอัตราการเผาผลาญยังลดลงอีกด้วย

2. โรคเบาหวาน การงดมื้อเช้าทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งหากรับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ จะช่วยลดภาวะผิดปกติดังกล่าวที่เป็นสาเหตุของโรคเบาหวานได้ถึงร้อยละ 35-50 เลยล่ะ

3. โรคอัลไซเมอร์ การรับประทานอาหารเช้าจะช่วยไปกระตุ้นพลังให้กับสมองและทำให้มีความจำที่ดีได้ แต่ในทางตรงกันข้ามหากเราอดอาหารมื้อเช้าจะทำให้ร่างกายไม่สดชื่น กระปรี้กระเปร่า หลงลืม ความจำไม่ดี ไม่มีสมาธิ หากทำเป็นประจำต่อเนื่องนานๆ อาจนำมาซึ่งโรคอัลไซเมอร์ได้อย่างแน่นอน

4. โรคเส้นเลือดในสมอง และโรคหัวใจ เพราะตอนเช้าหลังจากที่เราตื่นนอนเลือดของเราจะมีความเข้มข้นสูง ซึ่งจะทำให้เส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมอง หรือหัวใจอุดตันได้ ซึ่งจากผลการวิจัยจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจในอเมริกาเมื่อปี 2003 พบว่า การรับประทานอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคดังกล่าวได้

5. โรคกรดไหลย้อน โรคนี้ปัจจัยหนึ่งเกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม และการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลาก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น บางรายไม่ชอบรับประทานอาหารเช้า แต่หันไปพึ่งพาเครื่องดื่มคาเฟอีน อย่าง กาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง ฯลฯ เพียงอย่างเดียว ซึ่งเครื่องดื่มเหล่านี้จะยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้น้ำย่อยหลั่งออกมามากขึ้น

6.โรคนิ่ว การไม่รับประทานอาหารนานกว่า 14 ชั่วโมง จะทำให้คอเลสเตอรอลในถุงน้ำดีจับตัวกัน และหากปล่อยทำเป็นประจำไปนานๆ จะทำให้กลายเป็นก้อนนิ่วได้ ซึ่งการรับประทานอาหารเช้าเป็นประจำจะช่วยให้ตับปล่อยน้ำดีออกมาละลายไม่ให้คอเลสเตอรอลจับตัวกัน สามารถป้องกันการเกิดโรคนิ่วได้

ดร. นาโอมิ พริสต์ จากศูนย์ศึกษาสุขภาวะชุมชน แม็คคาวอี้ วิคเฮลท์ มหาวิทยาลันเมลเบิร์น (the mccaughey vichealth centre for community wellbeing) กล่าวว่า จากการทบทวนการศึกษาวิจัยที่ผ่านมา พบว่า มีกรณีศึกษา 461 รายที่แสดงให้เห็นว่า การเหยียดสีผิวและเชื้อชาติเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพและสุขภาวะโดยรวมของเด็กและเยาวชน อาทิเช่น การรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า จิตใจอ่อนแอ ปัญหาทางพฤติกรรมเพิ่มขึ้น และระดับของสุขภาวะลดลง

โดยระบุว่า การเหยียดเชื้อชาติในระดับ 'ปัจเจกบุคคล' มีมากกว่าใน 'ระดับสถาบัน' หรือที่เรียกว่า “การเหยียดเชื้อชาติเชิงระบบ” ในเชิงของสุขภาพ เป็นผลให้พบว่าผู้หญิงที่มีประสบการณ์ในการถูกเหยียดสีผิวและเชื้อชาติระหว่างตั้งครรภ์ จะส่งผลกระทบต่อการให้กำเนิดบุตร

ทั้งนี้การศึกษาที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ทำในประเทศสหรัฐอเมริกาในกลุ่มเด็กและเยาวชน อายุ 12-18 ปี กลุ่มเชื้อชาติ/ชาติพันธุ์/ส่วนใหญ่ที่ได้รับการศึกษาก็คือ แอฟริกัน-อเมริกัน ลาตินอเมริกาใต้-เอเชีย รวมถึงเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และ เอเชียกลุ่มอื่นๆ

ดร. นาโอมิ กล่าวต่อว่า การทบทวนการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องถูกแก้ไขในระดับสังคม โรงเรียน และชุมชน เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของเด็กและเยาวชน “เรารู้ว่าเด็กๆ ที่ประสบกับปัญหาสุขภาพและสุขภาวะที่แย่ลง มีแนวโน้มน้อยมากที่จะเข้าสู่ระบบการศึกษา การจ้างงาน และกิจกรรมอื่นๆ ทางสังคมที่จะนำไปสู่การมีชีวิตที่มีคุณภาพและการมีส่วนร่วมในชุมชนอย่างมีความหมาย”

สวีเดน คือประเทศที่น่าอยู่ที่สุดตาม 'ตัวชี้วัด' ขององค์กรการกุศลของประเทศอังกฤษอย่าง helpage international โดยระบุตัวชี้วัดไว้ 4 ตัว ได้แก่ ความมั่นคงทางรายได้ สุขภาพ การจ้างงานและการศึกษา รวมถึงสิ่งแวดล้อมทางสังคม

ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าส่วนใหญ่จะเป็นประเทศร่ำรวยที่สามารถบรรลุตัวชี้วัดเหล่านี้ได้ อีกทั้ง ตัวชี้วัดทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศร่ำรวยในการพัฒนาประเทศโดยรวม เพราะในอนาคตประเทศร่ำรวยจะมีจำนวนผู้สูงอายุมากที่สุด

เมื่อเปรียบเทียบตัวชี้วัดกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีแล้ว พบว่า แม้ประเทศที่มีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจและทางสังคมที่คล้ายกัน แต่กลับมีประสบการณ์ในเรื่องผู้สูงอายุที่แตกต่างกัน โดยที่ประเทศเกาหลีใต้ได้คะแนนต่ำกว่าสเปนและอิตาลี ทั้งที่ระดับจีดีพีมีความเท่าเทียมกันกับสองประเทศ ขณะที่นิวซีแลนด์ได้คะแนนสูงเป็นสองเท่า

ในบางกรณีประเทศยากจนสามารถเป็นบทเรียนให้แก่ประเทศร่ำรวยได้ เช่น ผู้สูงอายุในประเทศศรีลังกา โบลิเวีย และมอริเชียส มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า กรีซ ตุรกี และรัสเซีย นอกจากนี้ ความแตกต่างของตัวเลขผู้สูงอายุในเชิงภูมิภาคจะเพิ่มขึ้นด้วย กล่าวคือ ภายในปี 2573 หนึ่งในสี่ของชาวยุโรปจะมีอายุ 60 ปี หรือมากกว่า ในขณะที่ตัวเลขของชาวแอฟริกันจะอยู่ที่เพียงแค่ร้อยละ 6 เท่านั้น

 

แฟ้มภาพ

เครื่องดื่มที่คนไทยนิยมดื่ม ได้แก่ น้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้ ตลอดจนเครื่องดื่มที่เตรียมจากส่วนต่างๆ ของพืช เครื่องดื่มจากธรรมชาติส่วนใหญ่ ได้แก่ น้ำผลไม้ซึ่งรวมทั้งน้ำคั้นจากผลไม้สด เช่น น้ำส้ม น้ำมะนาว น้ำมะพร้าว เป็นต้น และน้ำผลไม้ที่มีเนื้อผลไม้ปน

น้ำผลไม้ชนิดหลังนี้ ทั้งน้ำและเนื้อผลไม้จะผ่านการบดหรือปั่นให้ละเอียดและแต่งเติมรสหวานด้วยน้ำตาล หรือน้ำเชื่อม และอาจเติมกรดผลไม้เพื่อแต่งรสเปรี้ยวได้ ตัวอย่างของน้ำผลไม้ดังกล่าวได้แก่ น้ำสัปปะรด น้ำแตงโม น้ำมะเขือเทศ น้ำมะขาม เป็นต้น นอกจากน้ำผลไม้แล้ว เครื่องดื่มที่ได้จากธรรมชาติยังสามารถเตรียมจากส่วนอื่นๆของพืช เช่น ส่วนเหง้า ต้น ใบ ดอก เมล็ด เป็นต้น ตัวอย่างเครื่องดื่มประเภทนี้ ได้แก่ น้ำอ้อย น้ำขิง น้ำเก็กฮวย น้ำบัวบก นมถั่วเหลือง เป็นต้น

นอกจากเครื่องดื่มชนิดต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ยังมีน้ำผลไม้อีกหลายชนิดที่นิยมดื่มกันแพร่หลาย เช่น น้ำฝรั่ง น้ำแตงโม น้ำมะขาม น้ำองุ่น น้ำลำใย น้ำทับทิม น้ำรากบัว น้ำบ๊วย ฯลฯ น้ำผลไม้ส่วนใหญ่มีวิธีการเตรียมเป็นเครื่องดื่มคล้ายคลึงกันดับที่กล่าวมาแล้ว นอกจากน้ำผลไม้แล้ว ยังมีผู้นิยมดื่มน้ำผักอีกด้วย น้ำผักจะให้ วิตะมินซี และ แคลเซียม สูงกว่าน้ำผลไม้บางอย่างด้วยซ้ำไป แถมยังเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ผักที่นิยมนำมาบดเป็นน้ำผัก เช่น คื่นช่าย ผักกาดหอม แตงกวา เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า เครื่องดื่มจากธรรมชาติให้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ประโยชน์ทางตรงก็คือ ช่วยให้ได้เครื่องดื่มที่อร่อย สะอาด ช่วยดับกระหาย คลายร้อน ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ส่วนประโยชน์ทางอ้อม คือ ใช้เป็นยาบำรุง และยารักษาโรค เช่น ช่วยขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ บำรุงร่างกาย ช่วยระบาย หรือช่วยแก้ท้องเสีย เป็นต้น นอกจากนั้น เครื่องดื่มจากธรรมชาติ สามารถเตรียมได้ง่ายๆ และ รวดเร็ว อีกทั้งช่วยประหยัดรายจ่ายของครอบครัวอีกด้วย ประโยชน์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ เครื่องดื่มจากธรรมชาติ ไม่ต้องแต่งด้วยสีสังเคราะห์ สีของเครื่องดื่มเป็นสีจากพืชโดยตรง ดังนั้นจึงไม่มีพิษต่อร่างกายอย่างแน่นอน

หลายคนคงกำลังสงสัยว่า “ส้มตำ” อาหารประจำชาติของประเทศไทย ทำไมถึงเรียกว่าส้มตำกันนะ ทั้งๆที่วัตถุดิบก็คือนำมะละกอมาตำ เอ๊ะ หรือว่า..คนคิดเมนูคนแรกชื่อส้ม วันนี้เรามีเกร็ดความรู้มาไขข้อข้องใจให้เพื่อนๆกันค่ะ

ทำไมเรียกว่าส้มตำ?

อันที่จริงไม่ใช่ชื่อของคนทำหรืออะไรหรอกค่ะ ที่ชื่อส้มตำก็เพราะเป็นการนำคำสองคำมาผสมกันนั่นเอง ก่อนอื่นต้องแยกคำก่อนนะคะ
คำแรก “ส้ม” มาจากภาษาท้องถิ่น ที่หมายความว่า รสเปรี้ยว
ส่วนคำที่สองคือ “ตำ” หมายความว่า การใช้สากหรือสิ่งของอื่นที่คล้ายคลึงทิ่มลงไปอย่างแรงเรื่อยๆ
เมื่อจับทั้งสองคำมารวมร่างกันก็จะได้ความหมายคือ อาหารรสเปรี้ยวที่ทำโดยการตำ นั่นเองค่ะ
นอกจากนี้ ส้มตำยังมีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นอีกหลายชื่อ เช่น ตำบักหุ่ง, ตำมะละกอ

ส้มตำ เป็นการปรุงอาหารโดยมีส่วนประกอบหลักคือการขูดมะละกอออกเป็นเส้นๆใส่ลงไปในครก พร้อมกับใส่วัตถุดิบต่างๆ เช่น ถั่วฝักยาว กระเทียม มะเขือเทศลูกเล็ก มะเขือเปราะ มะเขือสีดา พริกสด พริกแห้ง เสร็จแล้วปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลปี๊บ เติมน้ำปลา มะนาว ตามความชอบ

ส่วนประกอบต่างๆเหล่านี้ทำให้ส้มตำมีรสที่เป็นเอกลักษณ์ เปรี้ยว เค็ม เผ็ด แซ่บนัวถูกใจใครหลายๆคน สำหรับคนไทยในภาคอีสานนิยมกินส้มตำรสเค็มเผ็ด และคนไทยในภาคกลางนิยมกินรสเปรี้ยวหวาน นอกจากนี้ยังมีเครื่องเคียงที่มักมาคู่กันจนแทบขาดกันไม่ได้อย่าง ปลาดุกย่าง ไก่ย่าง แคบหมู ขนมจีน เส้นหมี่ และผักสด เช่น ผักบุ้ง ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักดอง ถั่วงอก ใบชะพลู เป็นต้น ร้านส้มตำมักขายอาหารอีสานอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น ต้มแซ่บ ลาบ น้ำตก ซกเล็ก ก้อย แจ่ว ตับหวาน ไก่ย่าง คอหมูย่าง พวงนม กุ้งเต้น ข้าวเหนียว

ประวัติส้มตำ

เดิมทีมะละกอเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอเมริกากลาง ต่อมายุคต้นกรุงศรีอยุธยา ชาวโปรตุเกสและสเปนได้นำมาเพาะปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วงเวลาใกล้ๆกันชาวฮอลันดาก็ได้นำพริกเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยในเวลาต่อมา

ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทูตชาวฝรั่งเศส นีกอลา แฌร์แวซ (Nicolas Gervaise) และ ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ ได้มาเยือนกรุงศรีอยุธยา และกล่าวในเวลานั้นไว้ว่า มะละกอได้กลายมาเป็นพืชพื้นเมืองชนิดหนึ่งของสยามไปแล้ว และยังได้กล่าวถึง มะนาว มะม่วง กระเทียม ปลาร้า ปลากรอบ กุ้งแห้ง กล้วย น้ำตาล พริกไทย แตงกวา ถั่วชนิดต่าง ๆ ที่ล้วนนำมาเป็นส่วนประกอบสำหรับปรุงส้มตำได้

ในภาษาลาวเรียกส้มตำว่า ตำบักหุ่ง หรือ ตำหมากหุ่ง (หมากหุ่งหมายถึงมะละกอ) ในบางครั้งเรียกว่า ตำส้ม คำว่า ส้ม ในภาษาไทยแปลว่า เปรี้ยว คำว่า ส้มตำ จึงเป็นคำในภาษาไทยที่ถูกนำมาเรียกโดยคนลาว เครื่องปรุงทั่วไปของส้มตำลาวจะคล้ายคลึงกับส้มตำไทย ประกอบไปด้วยมะละกอสับเป็นเส้น ผงนัว (ผงชูรส) หมากเผ็ด (พริก) เกลือ กระเทียม น้ำปลา น้ำตาล น้ำปลาแดก (น้ำปลาร้า) หมากถั่ว (ถั่วฝักยาว) หมากนาว (มะนาว) และอื่น ๆ ในบางพื้นที่นิยมใช้กะปิแทนปลาแดกและใส่เม็ดกระถินด้วย นอกจากนี้บางพื้นที่มีการใส่ปูดิบและน้ำปูลงไปด้วย

โยเกิร์ตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้ระหว่างการหมักนมด้วยแบคทีเรีย ในระหว่างกระบวนการทำชีส ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์นมอย่างหนึ่ง ซึ่งเจ้าโยเกิร์ตนี้มีจุลินทรีย์ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายไม่ว่าจะเป็น แลคโตบาซิลลัส บัลแกริคัส เดลบริคิโอ สเตรปโตคอคคัส ฯลฯ และวันนี้เราจะมาพูดถึงคุณประโยชน์ต่างๆ ของโยเกิร์ตกันค่ะ

1. ในโยเกิร์ตนั้นเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเลิศ เพราะในโยเกิร์ตนั้นจะมีโปรตีนมากกว่าในนมถึง 20 เปอร์เซ็นต์และนอกจากนั้นยังเป็นโปรตีนที่สามารถย่อยง่ายไม่ทำให้ท้องอืดเหมือนโปรตีนที่ได้จากนม

2. ป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อลำไส้ไม่ว่าจะเป็น ซัลโมเนลลา , อีโคไล , โคลิฟอร์มแบคทีเรีย พูดง่ายๆ ก็คือโยเกิร์ตสามารถยังยั้งอาการปวดท้องหรือท้องเสียที่เกิดจากเจ้าเชื้อโรคดังกล่าวได้นั่นเอง

3. มีการวิจัยออกมาว่า การรับประทานโยเกิร์ดเป็นประจำนั้นสามารถรักษาอาการท้องเสีย ท้องเดิน หรือโรคแผลในกระเพาะอาหารได้อย่างดี

4. โยเกิร์ตช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมจากนมได้ดีขึ้น โดยในโยเกิร์ตมีกรดแลคติกที่ช่วยย่อยแคลเซียมได้ง่ายนั่นเอง

5. ในโยเกิร์ตมีแลคโตบาซิลลัส ซึ่งสามารถช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนั้นยังสามารถควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ที่อยู่ในเลือดได้ ดังนั้นจึงมักเห็นผลิตภัณฑ์ลดความอ้วน มีส่วนผสมของโยเกิร์ตอยู่

6. นอกจากนั้นเจ้าแลคโตบาซิลลัส ยังสามารถช่วยตรวจจับสารโลหะหนัก สารก่อมะเร็งและกรดน้ำดีซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายได้ พูดง่ายๆ ก็คือโยเกิร์ตนั้นเป็นสารที่ยับยั้งและป้องกันการเกิดมะเร็งได้นั่นเอง นอกจากนั้นแลคโตบาซิลลัสยังสามารถยับยั้งไม่ให้แบคทีเรียในลำไส้สร้างสารไนเตรทที่เป็นอันตรายอีกชนิดหนึ่งกับร่างกายได้อีกด้วย

7. โยเกิร์ตสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยมีการวิจัยบางชนิดพบว่า หากรับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ถ้วย แบคทีเรียในโยเกิร์ตจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ร่างกายป่วยไข้ได้ง่าย

8. ช่วยฆ่าเชื้อราต่างๆ ได้ โดยเฉพาะเชื้อราบริเวณช่องคลอดของสาวๆ ซึ่งมักจะทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยหากรับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำทุกวันจะช่วยลดเชื้อราชนิดนี้ลงไปค่ะ

9. ทานโยเกิร์ตช่วยให้ไม่มีกลิ่นปาก เนื่องจากเจ้าแลคโตบาซิลลัส และสเตรปโตคอคคัสจะช่วยกำจัดแบคทีเรียในปากที่เป็นสาเหตุของกลิ่นปากนั่นเอง

10. นอกจากนี้โยเกิร์ตยังสามารถนำไปใช้ในการเสริมความงาม เช่น มาร์คหน้า พอกหน้า พอกตัว เพื่อบำรุงผิวพรรณให้สวยสดใสได้อีกด้วย

จะเห็นได้ว่า คุณประโยชน์ต่างๆ ของโยเกิร์ตนั้นมีมากมายหลากหลายประการเลยนะคะ ดังนั้นจึงแทบจะพูดได้ว่า โยเกิร์ตนั้นเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริงค่ะ แต่มีข้อแนะนำสำหรับคนที่ชอบรับประทานโยเกิร์ตว่า ให้เลือกรับประทานชนิดพร่องไขมัน หรือแบบธรรมชาติจะดีกว่า ทั้งนี้เพราะโยเกิร์ตที่ปรุงแต่งรสผลไม้นั้น มักจะมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำตาลอยู่เยอะ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อร่างกายเลยค่ะ

แฟ้มภาพ

การนอนหลับให้เพียงพอ เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับร่างกาย เพราะในขณะที่คุณกำลังพักผ่อน ร่างกายจะเริ่มซ่อมแซมส่วนต่างๆ ตั้งแต่เซลล์ผิวที่เสียหายไปจนถึงการขับสารพิษที่สะสมอยู่ในสมอง ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมให้ร่างกายก่อนที่จะเริ่มวันใหม่ แน่นอนว่าหากคุณนอนไม่พอจะส่งผลต่อสุขภาพของคุณในระยะสั้นและระยะยาว เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณเสี่ยงป่วยเป็นโรคหัวใจ อาการอักเสบ ภาวะซึมเศร้า และระบบภูมิคุ้มกัน

ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีของคุณ วันนี้เราจึงมี 5 ข้อที่คุณควรปฏิบัติก่อนนอน ช่วยให้หลับได้ง่ายมากยิ่งขึ้น มานำเสนอ

1. นั่งสมาธิ

จากการวิจัยในปี 2015 พบว่าการนั่งสมาธิวันละ 5-20 นาที จะช่วยให้คุณนอนหลับได้เร็วขึ้นกว่าวิธีอื่น การฝึกสมาธิจะช่วยลดความเครียดและทำให้จิตใจสงบนิ่ง ลองนั่งสมาธิก่อนนอนด้วยการเพ่งไปที่ลมหายใจเพื่อขจัดอารมณ์ต่างๆ ในจิตใจ หากจิตใจยังเตลิดก็เพ่งไปที่ลมหายใจใหม่และสังเกตความคิดโดยปราศจากการตัดสินใดๆ เพื่อไม่ให้สมองของคุณรู้สึกว่าถูกกระตุ้น

2. ใช้กลิ่นเข้าช่วย

รู้หรือไม่กลิ่นคือตัวช่วยสำคัญที่ทำให้คุณนอนหลับได้สบายมากยิ่งขึ้น น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์จะช่วยให้จิตใจสงบและนอนหลับได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเชื่อว่ามีฤทธิ์ต่อสารสื่อประสาทในสมอง กลิ่นลาเวนเดอร์จะช่วยลดทั้งอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตซึ่งจะช่วยให้คุณนอนหลับได้เร็วขึ้น สำหรับตอนเช้าหากคุณเป็นคอกาแฟกลิ่นกาแฟหอมนี้จะช่วยให้คุณตาสว่างขึ้นมาเกือบทันที

3. ตื่นนอนให้ตรงเวลา

จงตื่นนอนเวลาเดียวกันทุกวัน (16 ชั่วโมงก่อนการนอนครั้งต่อไป) เนื่องจากหลังจากที่คุณตื่นนอนมาแล้ว 16 ชั่วโมง จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Sleep Pressure เข้ามารับช่วงต่อ นอกจากนี้การตื่นนอนตอนตีห้าครึ่งหรือหกโมงนั้นเป็นเรื่องที่ดีและถ้าคุณเริ่มรู้สึกง่วงตอนประมาณสี่ทุ่มแล้วล่ะก็ กระโดดขึ้นเตียงได้เลย

4. เย็นดีกว่าร้อน

หากคู่รักของคุณชอบนอนท่ามกลางอากาศร้อนๆ แต่คุณชอบอากาศเย็นๆ ถือว่าคุณชนะ! เหตุผลคือโดยธรรมชาติอุณหภูมิร่างกายของคนเราจะตกลงก่อนช่วงเวลานอนซึ่งยังไม่รู้แน่ชัดว่าเพราะอะไร แต่มีทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่านี่คือการกักเก็บพลังงานของร่างกาย การนอนในห้องที่อุณหภูมิสูงจะทำให้ร่างกายของคุณต้องทำงานหนักเพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกายส่งผลให้คุณตื่นบ่อยขึ้นและนอนหลับไม่ต่อเนื่อง ดังนั้นการนอนในห้องที่มีอุณหภูมิประมาณ 25 องศาเซลเซียส จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

5. ปรับท่านอนใหม่

เมื่อสมองของคุณต้องทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน ปัญหาที่เกี่ยวกับกระบวนการเผาผลาญจึงก่อตัวขึ้น โชคดีที่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ค้นพบแล้วว่าสมองของเรามีระบบขับสารพิษและของเสียออกจากสมองเพื่อช่วยรักษาการทำงานของสมองให้เป็นปกติ ซึ่งจะทำงานตอนกลางคืน ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการทำความสะอาดในตอนกลางคืนจะช่วยในเรื่องความจำ เพิ่มพลังงาน และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน การนอนหลับไม่เพียงพอจะขัดขวางระบบการทำงานนี้ การวิจัยล่าสุดยังพบอีกว่าการนอนตะแคงจะทำให้ของเสียไหลเวียนสะดวกกว่าการนอนหงายหรือนอนคว่ำเมื่อมีการทดลองกับหนู


เมนู

 

สมัครสมาชิก|เข้าระบบ

ตัวหนังสือขนาดปกติตัวหนังสือขนาดปานกลางตัวหนังสือขนาดใหญ่

|

ปรับการแสดงผลให้แสดงในรูปแบบปกติปรับการแสดงผลให้แสดงสำหรับคนสายตาเลือนราง

ขณะนี้คุณอยู่ที่ : หน้าแรก » สาระสุขภาพ » เกร็ดความรู้สุขภาพ

'ตะไคร้' สมุนไพรไทย

โดย saowalak pisitpaiboon

|

วันที่ 01 มีนาคม 2560

|

อ่าน : 187

0

0

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


แฟ้มภาพ

ตะไคร้จัดเป็นพืชล้มลุกตระกูลหญ้า ใบมีลักษณะเรียวยาว ปลายใบ มีขนหนาม เป็นสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาประกอบอาหาร มี  6 ชนิด ได้แก่ ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และตะไคร้หางสิงห์

เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย เมียนมา ศรีลังกา และไทย ตะไคร้เป็นทั้งยารักษาโรคและมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่างเช่น วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ฯลฯและมีส่วนช่วยขับเหงื่อ ช่วยในการเจริญอาหาร แก้อาการเบื่ออาหารสารสกัดจากตะไคร้มีส่วนช่วยในการป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ ใหญ่  เป็นต้น

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

วัยรุ่น

3 วิธี เรียกสติแบบเร่งรัดทันใจ!!! ก่อนเข้าห้องสอบ

17 ก.พ. 60 (11:46 น.)

เปิดอ่าน 1,716

79แชร์

FBTWG+LINE

สนับสนุนเนื้อหา

แน่นอนว่าการสอบ ไม่ว่าจะเป็นการสอบเข้าศึกษาต่อ หรือสอบเก็บคะแนน ก็เป็นสาเหตุทำให้น้องๆเครียด และกดดันเอาได้ง่ายๆ พี่แนทเลยมีเทคนิควิธีที่จะลดอาการเครียดเหล่านี้ มาฝากน้องๆกันค่ะ

จิบชาเขียว

เขาวิจัยมาแล้วว่า ชาเขียวเป็นแหล่งที่มาของ L-Theanine สารเคมีที่ช่วยให้บรรเทาความเครียด ต้มน้ำที่เทออกและใช้จิบผ่อนคลายเป็นประจำทุกวันช่วยคุณให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบนิ่ง

เคี้ยวหมากฝรั่ง 

รสมิ้นต์, ผลไม้ เนื้อสัมผัสของหมากฝรั่งนุ่มๆ เหนียวๆ หวานๆ เย็นๆ เคี้ยวปุ้บจะทำให้หายเครียดทันทีทันใด เป็นวิธีลดเครียดที่ง่ายและรวดเร็วที่จะเอาชนะความเครียด เพียงไม่กี่นาทีของการเคี้ยว หมากฝรั่งสามารถลดความวิตกกังวลและลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) หรือที่เรียกว่า ฮอร์โมนแห่งความเครียดจะถูกหลั่งออกมาเมื่อร่างกายเกิดความเครียด หรือนอนไม่เพียงพอ

กำหนดลมหายใจ

ค่อยๆ หายใจเข้าและหายใจลึกๆ กำหนดลมหายใจเหมือนการนั่งสมาธิ เพียงแค่นี้ก็ช่วยลดความเครียดได้ ซึ่งบางทีเรามักลืมทำ แต่เป็นวิธีคลายเครียดที่เลิศ

พักสายตาเถอะนะคนดี

หลับตาลงไม่ต้องหลับลึก เพียงแค่หลับตาจากความวุ่นวาย พักสายตา และสมองด้วยวิธีที่รวดเร็วและง่าย แค่ลดเปลือกตาจะทำให้จิตสงบลดเครียดได้ดีจริงๆ